หลายปัญหาหลังการทำศัลยกรรมเสริมจมูก ทั้งภาวะแทรกซ้อน เช่น ปลายจมูกบาง ทะลุ หรือ รูปทรงที่ไม่ถูกใจ เบี้ยว เอียง โด่งเกินไป สั้นเกินไป โด่งน้อยไป ถ้าอยากแก้ไข จะทำได้เมื่อไร มาหาคำตอบกันครับ
สวัสดีครับ หมอโฮป นพ.อธิคม ถนัดพจนามาตย์ ศัลยแพทย์ตกแต่ง กับ Channel Doctor Hope Plastic Surgery กับความรู้และความจริงในเรื่องศัลยกรรมตกแต่งครับ
มีคนไข้จำนวนมากที่มาปรึกษาผมเกี่ยวกับการแก้ไขจมูก ซึ่งมีจำนวนมากกว่าคนที่ยังไม่เคยเสริมมาก่อนอีกครับ โดยปัญหาที่พบจะแบ่งได้เป็น 2 ส่วน ใหญ่ ๆ คือ ปัญหาจากภาวะแทรกซ้อน และ ปัญหาจากความไม่พอใจในรูปทรงจมูก บางคนเพิ่งทำมาได้ 1 สัปดาห์ 2 สัปดาห์ ก็อยากแก้ไขแล้ว สิ่งสำคัญที่ทุกคนอยากรู้ก็คือ ถ้าจะแก้ แก้ได้เมื่อไร คำตอบก็คือ ระยะเวลาในการแก้ไข ไม่ได้เท่ากันทุกคนครับ บางคนแก้ภายใน 1 เดือน บางคนรอ 3 เดือน รอ 6 เดือน รอ 1 ปี แล้วอะไรเป็นปัจจัยที่จะบอกว่าใครควรแก้ตอนไหน
และนี่คือ 3 คำถาม ที่ใช้ในการตัดสินใจ ว่าจะแก้จมูกเมื่อไรครับ
สิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกคนที่ทำศัลยกรรมเสริมจมูกก็คืออาการบวมหลังผ่าตัด อาการบวมจะมากในช่วง 3-5 วันแรกหลังจากผ่าตัด หลังจากนั้นจะค่อย ๆยุบลงเรื่อย ๆ อาการบวมที่เกิดขึ้นจะบดบังรูปทรงที่แท้จริงของจมูก เช่น จมูกจะยังดูใหญ่เกินไป สันจมูกสูงเกินไป หรือ อาการบวมอาจจะเกิดไม่เท่ากันทั้งจมูก เช่น ด้านขวาอาจจะบวมมากกว่าด้านซ้ายทำให้ดูเหมือนจมูกเอียง ปลายจมูกบวมกว่าสันจมูก ซึ่งสุดท้ายแล้วรูปทรงสุดท้ายของจมูกอาจจะสวยถูกใจก็ได้ ถ้าใจร้อนรีบแก้ไขเร็วเกินไปก็อาจจะเป็นการแก้ไขที่ไม่จำเป็นก็ได้ครับ แล้วต้องรอนานแค่ไหนกว่าจมูกจะเข้าที่หรือยุบบวมหมด เรื่องนี้ผมเคยได้อธิบายไว้ใน เสริมจมูกเข้าที่ตอนไหน ลองไปอ่านในรายละเอียดดูได้ครับ สรุปสั้น ๆ ก็คือ หลังผ่าตัด 1 เดือน อาการบวมหายไปประมาณ 2 ใน 3 หรือประมาณ 66% หลังผ่าตัด 6 เดือน อาการบวมหายไป 95% และหลังผ่าตัด 1 ปี อาการบวมหายไป 97.5% ถ้าดูแค่เรื่องของการบวม ยิ่งรอนานเท่าไร ก็ยิ่งเห็นรูปทรงที่แท้จริงของจมูกได้ชัดขึ้นเท่านั้น ทำให้สามารถประเมินการแก้จมูกได้แม่นยำมากขึ้นครับ
เมื่อเกิดบาดแผลร่างกายจะเกิดกระบวนการซ่อมแซม ซึ่งจะมี 3 ขั้น คือ
กระบวนการทั้งหมดนี้กินเวลา 1-2 ปี ฟังดูแล้วค่อนข้างนานใช่ไหมครับ ตรงนี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่หมอบางคนก็แนะนำให้รอถึง 1 ปี ค่อยแก้ไข แต่ก็ดูนานเกินไปสำหรับคนไข้บางคนใช่ไหมครับ เมื่อดูในรายละเอียดจะพบว่าในขั้นตอนที่ 2 ของกระบวนการหายจะเกิดการสร้างเนื้อเยื่อและคอลลาเจน ซึ่งยังเรียงตัวไม่เป็นระเบียบ แผลเป็นและเนื้อจมูกจะค่อนข้างแข็งและเปราะ ถ้าทำการแก้จมูกในช่วงเวลานี้ จะทำผ่าตัดได้ยากมากครับ ขั้นตอนที่ 2 นี้สิ้นสุดที่ระยะเวลาประมาณ 3 สัปดาห์ – 1 เดือน และจะเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายซึ่งกินเวลานานที่สุด ก็คือ 1-2 ปี สิ่งที่เกิดในขั้นตอนสุดท้ายร่างกายจะมีการจัดเรียงตัวของคอลลาเจนให้เป็นระเบียบ แผลเป็นที่นูนในช่วงแรกก็จะราบลง นิ่มลง และจางลง เนื้อจมูกก็จะนิ่มลง ดังนั้นถ้าอยากแก้จมูกแล้วรอให้หมดทั้ง 3 ขั้นตอนนี้ไม่ไหว อย่างน้อยก็ควรทำหลังจากผ่านขั้นตอนที่ 2 แล้ว ซึ่งก็คือ 1 เดือนครับ
ในการแก้จมูกปัญหาแต่ละอย่างมีความเร่งด่วนต่างกัน ขอยกตัวอย่างแนวทางแก้ไขตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์นะครับ ถ้าซิลิโคนทะลุก็ควรรีบแก้ทันที ถ้าเนื้อปลายจมูกบางก็ควรรีบแก้แต่ก็ไม่ถึงกับต้องทำทันที ถ้ารูปทรงไม่ถูกใจก็พอรอได้อาจจะเป็นเดือนหรือเป็นปี แต่เรื่องของรูปทรงจมูกคนไข้แต่ละคนก็มีความเร่งด่วนในการแก้ไขที่แตกต่างกัน บางคนจมูกเอียงเป็นปีก็รอได้ บางคนก็อยากรีบแก้โดยเร็วที่สุด ซึ่งก็ต้องดูปัจจัยอื่นร่วมด้วย คือ จมูกยุบบวมมากแค่ไหนแล้ว กระบวนการหายของแผลอยู่ในขั้นตอนไหนแล้ว เพื่อประกอบการตัดสินใจครับ
สำหรับแนวทางการตัดสินใจของผมว่าจะแก้จมูกตอนไหน ก็จะพิจารณาจาก 3 คำถามที่กล่าวมา ถ้าเป็นเรื่องเร่งด่วน เช่น ซิลิโคนทะลุ ติดเชื้อเป็นหนอง ก็จะรีบแก้ทันที ถ้าเป็นปัญหาที่รอได้ เช่น เรื่องรูปทรง จมูกเบี้ยวเอียง ก็จะรอให้นานที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ก็ให้กระทบกับความกังวลของคนไข้เป็นเวลาสั้นที่สุด คือรอให้ยุบบวมมากที่สุดเท่าที่ทำได้ รอให้กระบวนการหายของแผลอยู่ในขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นเวลา 3-6 เดือนหลังผ่าตัด แต่บางปัญหา เช่น คนที่เคยติดเชื้อรุนแรงมาก่อน มีการหดรั้งของเนื้อจมูกมากก็จะรอประมาณ 6 เดือน – 1 ปีครับ
ถ้าอยากให้ผมทำคลิปอะไรแนะนำกันมาได้นะครับ ถ้าต้องการให้ผมประเมินแนวทางการทำศัลยกรรม มีปัญหาเรื่องของการทำศัลยกรรมทุก ๆเรื่อง สนใจอยากทำศัลยกรรม อยากได้คำปรึกษา ส่งรูปมาให้ผมช่วยประเมินใน line official ที่ @dr.hope ได้นะครับ