ในปัจจุบันการเสริมจมูกมีเทคนิคอะไรบ้าง คำถามสั้นๆที่คำตอบไม่สั้นครับ
สวัสดีครับผมหมอโฮป นายแพทย์อธิคม ถนัดพจนามาตย์ ศัลยแพทย์ตกแต่ง กับแชนแนล Dr.hope plastic surgery ช่องที่ตั้งใจจะเผยแพร่ความรู้และความจริงในเรื่อง ศัลยกรรมตกแต่ง ครับ
ในปัจจุบันคงได้ยินชื่อเทคนิคการเสริมจมูกต่างๆมากมายนะครับ semi-open, open ปรับโครงสร้าง, ยืดผนังกั้นจมูก, เย็บอินเตอร์โดม, รองปลาย, เหลาซิลิโคนเคสต่อเคส และชื่อเทคนิคต่าง ๆ ที่แต่ละคลินิกตั้งชื่อขึ้นมา ในบทความนี้ผมจะอธิบายให้ฟังครับว่าจริงๆแล้วในปัจจุบันมีเทคนิคอะไรบ้างครับ
เริ่มที่เรื่องแรกก่อนครับ นั่นก็คือวิธีการเปิดแผล วิธีการเปิดแผลเพื่อเสริมจมูกมีอยู่ 2 แบบ นั่นก็คือแบบ close และ แบบ open แบบ close คือการเปิดแผลที่รอยแผลอยู่ในรูจมูกทั้งหมด โดยจะเปิดในรูจมูก 1 ข้าง
หรือ 2 ข้าง ก็ได้ครับ ซึ่งเรียกว่า close เหมือนกัน แต่ก็มีหลายๆคลินิกเรียกวิธีการเปิดแผลแบบ close ที่เปิดในรูจมูกทั้ง 2 ข้าง ว่า semi-open ครับ
ส่วนแบบ open จะเหมือนแบบ close ที่เปิดในรูจมูก 2 ข้าง เพิ่มเติมคือจะมีแผลผ่านแกนกลางจมูกหรือที่เรียกว่า columella เพื่อเชื่อมระหว่างแผลในรูจมูกทั้ง 2 ข้าง ซึ่งจะทำให้สามารถยกผิวหนังทั้งหมดขึ้นมาจากโครงสร้างภายใน ทำให้มองเห็นโครงสร้างภายในชัดเจนครับ
สรุปเรื่องการเปิดแผลนะครับ มีแค่ 2 วิธีคือ close และ open ถ้าแผลอยู่ในรูจมูกจะกี่ข้างก็ตามเรียกว่า close ถ้ามีแผลนอกรูจมูกผ่านแกนกลางหรือ columella เมื่อไรจะเรียกว่า open ครับ ยำ้นะครับ การเปิดแผลมีแค่ close และ open เท่านั้น
ถัดมาคือวิธีการเสริม การเสริมจมูก จะแบ่งส่วนการเสริมเป็น 2 ส่วน ก็คือ สันจมูกกับปลายจมูก โดยผมจะแบ่งเทคนิคการเสริมจมูกเป็น 2 แบบใหญ่ๆ
แบบแรกเป็นการเสริมสันจมูกกับปลายจมูกด้วยวัสดุการเสริมชิ้นเดียวกันวางทับลงไปบนกระดูกอ่อนโครงสร้างของจมูก วัสดุที่ใช้เสริมก็จะมีทั้งซิลิโคน กอร์เท็กซ์ Acellular dermal matrix หรือที่ชอบเรียกกันว่าเนื้อเยื่อเทียม เนื้อเยื่อของคนไข้เอง เช่น เนื้อก้นกบ เป็นต้นครับ โดยวัสดุที่นิยมมากที่สุดก็คือซิลิโคน โดยซิลิโคนก็จะมีรูปทรงต่างๆ หรือจะเป็นแท่งสี่เหลี่ยมมาเหลาเอาก็ได้ครับ วิธีนี้ทำได้ง่าย แต่ปัญหาที่มักพบจากการเสริมวิธีนี้ก็คือเมื่อผ่านไประยะหนึ่งเนื้อปลายจมูกมักจะบางลงและอาจจะทะลุได้ การบางลงเร็วหรือช้า มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย คือความหนาของซิลิโคนบริเวณปลายจมูกและความหนาของเนื้อที่ปลายจมูก ซิลิโคนหนาเนื้อบางโอกาสทะลุก็สูง ซิลิโคนบางเนื้อหนาโอกาสทะลุก็ต่ำ เมื่อมีปัญหานี้ก็มีการแก้ด้วยการเอาเนื้อเยื่อต่างๆมาเย็บติดกับปลายซิลิโคน หรือที่ชอบเรียกกันว่ารองปลาย ที่นิยมนำมาใช้มี 3 อย่าง คือ เนื้อก้นกบ Acellular dermal matrix หรือที่ชอบเรียกกันว่าเนื้อเยื่อเทียม และ กระดูกอ่อนใบหู เนื้อก้นกบและเนื้อเยื่อเทียมจะทำให้ปลายจมูกดูกลมมนมากกว่าแต่ก็มีอัตราการสลายตัวที่สูง จึงมักจะต้องใส่ให้หนากว่าที่ต้องการเผื่อการยุบตัว ส่วนกระดูกอ่อนใบหูมีอัตราการสลายตัวน้อย แต่ก็มีโอกาสที่จะคลำได้ หรือเห็นขอบของกระดูกอ่อนได้ครับ
ในการเสริมจมูกด้วยเทคนิคแบบนี้มักนิยมเปิดแผลแบบ close ไม่ว่าจะ 1 ข้าง หรือ 2 ข้าง เลยทำให้มักเรียกการเสริมด้วยเทคนิคแบบนี้ว่าการเสริมแบบ close
นอกจากปัญหาเรื่องเนื้อปลายจมูกบางแล้ว ก็ยังมีปัญหาอื่นๆ อีก คือ ปลายจมูกงุ้มลง ซึ่งเกิดจากแรงกดของซิลิโคนลงบนกระดูกอ่อนปลายจมูก และปลายจมูกโด่งไม่เป็นสัดส่วนกับรูจมูกครับ
การเสริมแบบ close สามารถทำได้โดยการฉีดยาชา ใช้เวลาน้อย และมีความยุ่งยากน้อย ทำให้มักมีราคาไม่สูงมาก เนื่องจากหัวใจหลักของการเสริมวิธีนี้ก็คือซิลิโคน ซิลิโคนจึงเป็นจุดขายสำคัญของเทคนิคนี้ การให้คุณค่ากับการเหลาซิลิโคน การออกแบบซิลิโคนเฉพาะบุคคล รูปทรงซิลิโคนลักษณะต่างๆ เนื้อซิลิโคนเกรดต่างๆ จะเป็นสิ่งที่ใช้ในการเพิ่มราคาของวิธีการนี้ครับ
แบบที่สองการเสริมสันจมูกและปลายจมูกแยกส่วนกัน โดยวิธีการนี้จะใช้การเปิดแผลแบบ open เป็นหลัก ทำให้มักเรียกวิธีการนี้ว่าการเสริมแบบ open หลักการสำคัญของวิธีการนี้คือการทำให้ปลายจมูกโด่งขึ้นโดยใช้การยกกระดูกอ่อนปลายจมูกขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาต่างๆที่เกิดจากการเสริมปลายจมูกโดยการวางซิลิโคนทับกระดูกอ่อนปลายจมูก ปัญหาที่เกิดขึ้นก็ดังที่ได้เล่าไปแล้ว คือ เนื้อปลายจมูกบาง ทะลุ ปลายจมูกงุ้มลง ปลายจมูกโด่งไม่เป็นสัดส่วนกับรูจมูกครับ
การเสริมปลายจมูกโดยวิธีการนี้จะใช้กระดูกอ่อนเป็นตัวเสริม โดยกระดูกอ่อนที่นำมาใช้จะมาจาก 3 ตำแหน่ง คือ ผนังกั้นจมูก ใบหู และซี่โครง โดยใช้กระดูกอ่อนเหล่านี้มาคำ้ยันกระดูกอ่อนปลายจมูกให้ยกตัวสูงขึ้น ไม่ใช่การเอากระดูกอ่อนมาวางทับลงไป การเสริมปลายจมูกแบบนี้มักเรียกกันว่าวิธีการปรับโครงสร้าง การปรับโครงสร้างก็มีวิธี มีรายละเอียดที่แตกต่างกันไปในศัลยแพทย์แต่ละท่าน วิธีที่ได้ยินบ่อยๆก็คือการยืดผนังกั้นจมูก ผมจะไม่ลงรายละเอียดในเรื่องนี้เพราะเป็นเรื่องที่เข้าใจยากและรายละเอียดมีเยอะมาก แค่รู้ว่าที่มาและเหตุผลของการทำแบบ open หรือปรับโครงสร้างคืออะไรก็เพียงพอครับ
ส่วนบริเวณสันจมูกจะเสริมแยกส่วนกับปลายจมูกโดยมีทั้งการใช้วัสดุสังเคราะห์ เช่น ซิลิโคน กอร์เท็กซ์ หรือใช้เนื้อเยื่อของตัวเอง เช่น เนื้อก้นกบ กระดูกอ่อนซี่โครง ทั้งแบบเป็นแท่ง ทำเป็นแผ่นๆมาเย็บติดกัน และแบบสับละเอียด ทั้งหมดนี้ก็เป็นภาพรวมของเทคนิควิธีการเสริมจมูกในปัจจุบัน แล้วเราควรเลือกวิธีการอย่างไร
จากประสบการณ์ของผม ผมขอแนะนำดังนี้ครับ ในการเสริมจมูกบริเวณปลายจมูกควรทำโดยการปรับโครงสร้างโดยใช้กระดูกอ่อนเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาปลายจมูกบาง ปลายทรุดงุ้มลง และปลายจมูกที่โด่งโดยไม่ได้สัดส่วนกับรูจมูก ซึ่งการปรับโครงสร้างปลายจมูกจะต้องเปิดแผลแบบ open
การเสริมจมูกโดยวิธีเปิดแผลแบบ close เหมาะกับการเสริมแค่บริเวณสันจมูกเท่านั้นโดยไม่มีการทำอะไรกับปลายจมูกเลย คำพูดที่ว่าโครงสร้างจมูกไม่ได้ผิดรูปหรือมีปัญหามากไม่ควรหรือไม่จำเป็นต้องทำแบบ open นั้น ไม่เป็นความจริง เพราะเป้าหมายหลักของการเปิดแผลแบบ open คือการไปทำให้ปลายจมูกโด่งขึ้น ด้วยวิธีการยกกระดูกอ่อนปลายจมูกขึ้น ดังนั้นถ้าต้องการทำให้ปลายจมูกโด่งขึ้น ควรทำแบบ open ครับ
และทั้งหมดนี้ก็คือเทคนิคการเสริมจมูกที่มีในปัจจุบันครับ ส่วนชื่อเทคนิคพิเศษอะไรที่มากไปกว่านี้ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องเสียเงินเพิ่มครับ ในปัจจุบันการเสริมจมูกแบบ close โดยซิลิโคนยาวถึงปลายจมูก โดยจะรองปลายหรือไม่ก็ตาม ในต่างประเทศไม่มีการทำแล้วครับเพราะมีปัญหามาก และผมก็ไม่ได้ทำ เช่นกันครับ ลองเอาเป็นข้อมูลไว้ประกอบการตัดสินใจนะครับ
ถ้าอยากให้ผมทำคลิปหรือบทความอะไรแนะนำกันมาได้นะครับ ถ้าต้องการให้ผมประเมินแนวทางการทำศัลยกรรม มีปัญหาเรื่องของการทำศัลยกรรมทุก ๆ เรื่อง สนใจอยากทำศัลยกรรม อยากได้คำปรึกษา ส่งรูปมาให้ผมช่วยประเมินใน line official ที่ @dr.hope ได้นะครับ